Last updated: 27 ส.ค. 2567 |
จากกรณีนายรังสรรค์ สุวรรณศร อายุ 57 ปี เจ้าของร้านบะหมี่เกี๊ยวชื่อดัง " ฮ่องเต้บะหมี่เกี๊ยวปูหมูแดง" ร้านตั้งอยู่บริเวณหน้าหมู่บ้าน กฤษดานคร ถนนแจ้งวัฒนะ ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี
ซึ่งพ่อค้ารายนี้เป็นที่รู้จักกันดีในโซเชียลมีเดียหลายคนเรียกกันว่า "เสี่ยเค้ก" พ่อค้าบะหมี่เกี๊ยวปูที่มักจะสวมใส่ทองเส้นใหญ่เท่าโซ่เหลืองอร่ามเต็มคอและข้อมือ เสี่ยเค้กยังเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะที่เป็นพ่อค้าบะหมี่เกี๊ยวใจดี
ติดป้ายที่หน้าร้านไว้ว่า "สตรีมีครรภ์ คนจน คนไร้ที่พึ่งขอกินฟรีได้ตลอด"
ล่าสุดเมิ่แเวลา 19.00 น.วันที่ 26 ส.ค.67 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่พบกับเสี่ยเค้กอีกครั้งเพราะทราบข้อมูลมาว่าเสี่ยเค้กกำลังจะซื้อสร้อยคอทองคำน้ำหนัก 100 บาท สวมใส่อีก 1 เส้นซึ่งเป็นเรื่องที่สวนกระแสสภาวะเศรษฐกิจในตอนนี้ แต่ปรากฏว่ามีสำนักข่าวบางสำนักที่ไม่ได้มาทำข่าวกับนำภาพและเนื้อหาของข่าวของผู้สื่อข่าวไปนำเสนอในมุมที่แตกต่างออกไป โดยระบุว่าเสี่ยเค้กงานเข้าสรรพากรจะลงมาตรวจสอบเส้นทางการเงินของเสี่ยเค้กที่ร่ำรวยผิดปกติ
เรื่องนี้ทำให้เสี่ยเค้กไม่สบายใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับ โดยเสี่ยเค้กบอกกับผู้สื่อข่าวว่าส่วนตัวแล้วตนเองไม่ได้กังวลหากสรรพากรจะมาตรวจสอบเพราะเงินที่ได้มานั้น เป็นเงินที่ได้มาโดยสุจริตแต่ที่เสียใจและนอนไม่หลับ เพราะรู้สึกว่าเพียงเพราะตนขายก๋วยเตี๋ยวมีผิวคล้ำ มีรอยสัก พอใส่ทองเส้นใหญ่และมีความฝันว่าจะได้สวมใส่ทองเส้นละ 100 บาท ถึงกับต้องลงพื้นที่มาตรวจสอบกันเลยหรือทั้งที่ตนเป็นพ่อค้าริมทาง และเกิดข้อสงสัยว่า เจ้าของร้านบะหมี่เกี๊ยวจะใส่ทองคำเส้นละ 10 บาทไม่ได้เลยหรือ
เสี่ยเค้กยังเปิดใจถึงที่มาที่ไปของทองที่ใส่อยู่ที่คอและข้อมือด้วยว่า จุดเริ่มต้นมาจากการขายที่ดินของทางครอบครัว เมื่อ 20 ปีก่อน ตอนนั้นตนได้เงินมาประมาณ 80,000 บาท เพราะเป็นการขายต่อให้กับพี่สาว จึงนำเงินจำนวนนี้ไปซื้อทองเก็บไว้และขายบะหมี่มาก่อนหน้านั้น จนกระทั่งขายไปขายมาก็รวบรวมเงินทอง จนกลายเป็นตอนนี้ที่ใส่อยู่คือทองคำเส้นละ 10 บาท 2 เส้น และที่ข้อมือ เส้นละ 5 บาท รวม แล้ว 25 บาทมูลค่าตอนนี้1 ล้านบาท และใส่แบบนี้มาขายบะหมี่เกี๊ยวทุกวันและยังบอกอีกว่ากว่าตนเองจะเก็บหอมรอมริบได้ทองเส้นใหญ่ขนาดนี้ ตนขายก๋วยเตี๋ยวมา 32 ปี เป็นคนที่ประหยัดมัธยัสถ์มาก แม้แต่กาแฟ Amazon ก็ไม่กล้ากิน กับข้าวกับปลาก็ทำกินกันเองในครอบครัว กินชามเดียวกับภรรยา กำไรที่ได้จากการขายก๋วยเตี๋ยวต่อวันนำไปหยอดกระปุก อย่างน้อย 1,000 บาทและไม่มีการนำออกมาใช้ แม้จะใส่ทองเส้นใหญ่ แต่เสื้อ และกางเกง ไม่เกิน 200 บาท ทุกวันนี้ยังขับขี่รถจักรยานยนต์ ส่งก๋วยเตี๋ยวให้ลูกค้าที่มาสั่งอยู่เลย เพราะในชีวิตมีสิ่งเดียวที่ตนปรารถนานั่นคือทองคำ จึงเก็บเงินขวนขวายที่จะซื้อทองคำเส้นใหญ่ๆมาใส่ เพราะมันทำให้รู้สึกมีกำลังใจมีแรงผลักดันในการทำงานต่อไป ส่วนประเด็นที่บอกว่า ตนกำลังเตรียมเงินเพื่อไปซื้อทอง 100 บาทนั้น ก็ยอมรับว่าได้เข้าไปในร้านทองแห่งหนึ่ง เพื่อไปเปลี่ยนลายทองที่ข้อมือ ปรากฏว่าพอเข้าไปในร้าน ก็เห็นทองเส้นละ 100 บาท เส้นใหญ่สวยงามมาก มีความตั้งใจว่าต่อไปจะต้องเก็บเงินเพิ่มเพื่อซื้อทอง ให้ครบ 100 บาทซึ่งตอนนี้มีแล้ว 25 บาท ก็เหลืออีก 75 บาท นี่ก็คือความใฝ่ฝันของตัวเอง ขณะที่ในวันนั้นแม่ค้าก็เห็นว่าตนใส่ทองเส้นใหญ่เข้าไปในร้านก็เลยให้ตนลองสวมทองเส้นละ 100 บาท เพื่อทำ Content โปรโมทร้าน แล้วก็โปรโมทตัวเองด้วย ยืนยันว่าตอนนี้ยังไม่มีเงินซื้อทอง 100 บาท เป็นเพียงความฝันเท่านั้น
ขณะที่ในวันนี้เสี่ยเค้กยังได้นำเรื่องนี้ไปปรึกษากับนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานมูลนิธิเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม ถึงกรณีการค้าขายบะหมี่ และมีเงินซื้อทอง รวมแล้ว 25 บาท ซึ่งเมื่อทนายรณรงค์ได้ฟังข้อมูลจากเสี่ยเค้กแล้ว ก็บอกว่าไม่น่ากังวลอะไรเพราะกำไรจากการขายบะหมี่เกี๊ยวต่อวันอยู่ที่ประมาณวันละ 2,000 กว่าบาท หรือบางวันก็ขาดทุนด้วยซ้ำ หากคำนวณจากรายได้แล้วน่าจะไม่เกิน 1 ล้าน 8 แสนบาทต่อปี
ตนเองเห็นเสี่ยเค้กขายก๋วยเตี๋ยวมาตั้งแต่ตัวเองยังเด็ก เดินผ่านร้านก๋วยเตี๋ยวของเสี่ยเค้กทุกวันและยังรู้ด้วยว่าเสียเค้กเป็นคนที่มัธยัสถ์มาก รู้สึกไม่แปลกใจอะไรที่เสี่ยเค้กจะสวมใส่ทองเส้นละ 10 บาท 2 เส้น บนคอจนดูเหลืองอร่าม ซึ่งเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เสียเค้กนำออกมาโชว์ นอกนั้นก็เห็นว่าแกขับรถธรรมดาแต่งตัวธรรมดาใช้ชีวิตประจำวันเป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่หรูหราอะไร ซึ่งเรื่องนี้หากสรรพากรลงพื้นที่มาตรวจสอบก็ต้องให้เขาตรวจสอบไปตามกระบวนการ ไม่ใช่เรื่องน่ากังวล และไม่ใช่เรื่องที่จะบอกว่า "งานเข้า" ตามที่สื่อบางสื่อลงไป